วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

จังหวะหน้าทับ

                                                       หน้าทับ
หน้าทับหมายถึงแบบแผนสำหรับการใช้เครื่องประกอบจังหวะบรรเลงประกอบเพลงหน้าทับนั้นไม่ใช่ทำนองแต่เป็นลักษณะจังหวะของกลองไม่ว่าจะเป็นกลองตะโพน กลองแขก กลองโทนรำมะนา และกลองสองหน้าจังหวะของของกลองเหล่านี้เรียกว่า หน้าทับ โดยใช้ตีกำกับทำนองเพลงไทยใช้ตีร่วมกับฉิ่ง สำหรับคำนี้มีพัฒนาการมาจากคำว่าทับซึ่งพระวินิจฉัยของสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทรงอธิบายไว้ว่า เครื่องสังคีตประเภทกลองของไทยมีตรงกับกลองของชาวอินเดียอยู่คือ ทับ เป็นกลองขึงหนังหน้าเดียว โทนซึ่งชาวอินเดียเรียก โทล ขึงหนังสองหน้า แต่ไทยเรียกว่า ตะโพน คำพวกนี้ค่อนข้างสับสน เพราะชาวนครศรีธรรมราชเรียก ทับ แต่ชาวกรุงเทพฯเรียก โทน ความส่อว่าแต่โบราณเห็นจะใช้แต่กลองสองหน้าในวงปี่พาทย์ตะโพนหน้าจะเป็นของประดิษฐานขึ้น หรือเอามาเข้าวงปี่พาทย์ภายหลังส่วนคำว่าโทนยังปรากฏอยู่ในบทละครเมื่อร้องบทลงสรงทรงเครื่อง และ บทชมรถ หรือ ช้างม้าพาหนะ บอกให้ร้องเพลงโทนหมายถึง ร้องเข้ากับกลองโทนที่ตีประกอบต่อมาตะโพนเข้ามาแทนที่ กลองโทนจึงเข้าไปใช้สำหรับวงเครื่องสายมโหรี(สาส์นสมเด็จ เล่มที่ 2 หน้า 55)

ดังนั้นกลองทับหรือกลองโทนก็คือกลองชนิดเดียวกันแต่เรียกแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาคซึ่งในเวลาต่อมาได้นำไปใช้ตีคู่กับกลองรำมะนาในวงดนตรีสาเหตุที่นำมาตีผสมกับกลองรำมะนานั้นน่าจะเป็นการให้เสียงของจังหวะกลองนั้นดังขึ้นเนื่องจากขนาดของวงดนตรีไทยเริ่มมีการปสมด้วยเครื่องดนตรีหลากหลายขึ้นถ้ายังคงตีด้วยกลองใบเดียวเสียงของกลองอาจไม่ดังเท่ากับเครื่องดนตรีชนิดอื่นและทำให้ไม่ได้ยินจังหวะกลองได้ชัดเจน
นอกจากกลองโทนและกลองรำมะนาที่ใช้ตีประกอบในวงดนตรีแล้วต่อมายังมีการนำกลองสองหน้าและกลองแขกซึ่งเป็นกลองที่มีเสียงดังมาตีประกอบสำหรับวงดนตรีที่มีเสียงดัง เช่น วงปี่พาทย์จึงทำให้มีการกำหนดชนิดของกลองให้เหมาะสมตามแบบของวงดนตรีด้วยกล่าวคือถ้าเป็นวงที่มีเสียงดังอย่าง วงเครื่องสาย และวงมโหรี จะใช้กลองโทนรำมะนาถ้าเป็นวงปี่พาทย์จะใช้กลองสองหน้าหรือกลองแขก
ไม่ว่าจะเป็นกลองชนิดใดก็ตามโดยหน้าที่ของกลองคือตีประกอบจังหวะให้ถูกต้องกับประโยคเพลงและกลมกลืนกับทำนองเพลงซึ่งเป็นเครื่องบอกส่วนสัดและประโยคเพลงนั้น ๆวิธีการตีกลองประจำเพลงนี้นักดนตรีต้องยึดเป็นสิ่งสำคัญต้องบรรเลงให้ตรงตามจังหวะอย่างพอดีซึ่งวิธีการตีจังหวะกลองนั้นเรียกว่า หน้าทับซึ่งยังคงเรียกตามจังหวะของกลองทับซึ่งเป็นกลองที่ใช้มาเก่าแก่ที่สุดโดยเรียกคำว่าหน้าทับเป็นคำนำหน้าแล้วต่อด้วยชนิดของกลองนั้น ๆ เช่น หน้าทับโทนรำมะนา หมายถึง จังหวะของการตีโทนรำมะนาหน้าทับกลองแขก หมายถึงจังหวะการตีกลองแขก เป็นต้น(มนตรี ตราโมท 2507 : 21)
หน้าทับนั้นในสมัยอยุธยามีอยู่หลากหลายมากแต่ในปัจจุบันหน้าทับนั้นมีเหลืออยู่ที่ใช้กันไม่มากนักสามารถกำหนดเป็นหลักได้ 3 ประเภทได้แก่
หน้าทับปรบไก่
เป็นหน้าทับที่สำคัญที่สุดใช้ตีประกอบในเพลงไทยโดยส่วนใหญ่มีพัฒนาการมาจากจังหวะปรบมือและการร้องของลูกคู่เพลงพื้นบ้านที่เรียกว่าเพลงปรบไก่ซึ่งเป็นเพลงที่ร้องกลอนโต้ตอบกันระหว่างหญิงชายโดยมีลูกคู่คอยปรบมือและร้องเป็นทำนองว่าฉ่าฉ่าช้าชะฉ่าไฮ้ซึ่งจะร้องประกอบการขับกลอนและร้องรับในแต่ละคำกลอนต่อมาได้นำเอากลองทับเข้าไปบรรเลงประกอบการขับร้องและเลียนเสียงของลูกคู่ให้เป็นจังหวะกลองและโบราณาจารย์ทางดนตรีไทยเห็นว่าจังหวะนี้น่าจะนำมาใช้เป็นจังหวะกลองในการบรรเลงประกอบเพลงได้จึงนำมาใช้กับกลองตะโพนโดยทำให้เป็นจังหวะปานกลางซึ่งก็คืออัตรา 2 ชั้นนั่นเอง โดยจะเปรียบเทียบระหว่างหน้าทับปรบไก่ 2 ชั้น ของกลองตะโพนกับจังหวะการร้องของลูกคู่ในเพลงปรบไก่
เสียงร้องของลูกคู่ในเพลงปรบไก่
ฉิ่ง        ฉับ                   ฉิ่ง        ฉับ                   ฉิ่ง        ฉับ       ฉิ่ง        ฉับ
 ฉ่า
 ฉ่า
 ฉ่า
ช้า

 ชะ ฉ่า
 ไฮ้


หน้าทับปรบไก่ 2 ชั้น ของกลองตะโพน
ฉิ่ง        ฉับ                   ฉิ่ง        ฉับ       ฉิ่ง                    ฉับ       ฉิ่ง                    ฉับ

พรึง
ป๊ะ
ตุ๊บ
พรึง
พรึง
ตุ๊บ
พรึง


จากการแสดงโน้ตการตีกลองหน้าทับดังกล่าวเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นถึงการนำเอาจังหวะของเพลงพื้นบ้านมาสู่จังหวะสำหรับการบรรเลงดนตรีโดยใช้กลองบรรเลงแทนเสียงร้องซึ่งกำหนดให้เป็นจังหวะอัตรา 2 ชั้นจะเห็นได้ว่า 1 จังหวะหน้าทับปรบไก่ในอัตราจังหวะ 2 ชั้นนั้นถ้าเทียบกับการเขียนโน้ตไทยที่มี 8 ห้องโน้ตต่อ 1 บรรทัดจะเท่ากับโน้ต 1 บรรทัดถ้าเพลงนั้นมี 8 บรรทัดโน้ตจะเท่ากับเพลงนั้นมี 8 จังหวะหน้าทับนั่นเอง
ต่อมาได้มีการนำเอาหน้าทับปรบไก่ไปพัฒนาให้ใช้ตีกับกลองอีกหลายประเภทได้แก่โทนรำมะนากลองแขกกลองสองหน้าขึ้นอยู่กับว่าจะบรรเลงด้วยวงประเภทอะไร เช่น วงปี่พาทย์ซึ่งเป็นวงที่เสียงดังต้องใช้กลองที่มีเสียงดังจึงใช้กลองตะโพนกลองแขกกลองสองหน้า ส่วนวงมโหรีและวงเครื่องสายใช้กลองโทนรำมะนาเพราะมีเสียงเบาเหมาะสมกับวงประเภทนี้เมื่อนำเอากลองชนิดใดมาตีก็ยังคงยึดแบบแผนหน้าทับนั้นไว้แต่มีการเรียกเสียงหน้าทับขึ้นมาใหม่โดยเลียนเสียงของการตีกลองของแต่ละประเภทที่ดังไม่เหมือนกันกล่าวคือถ้าเป็นเสียงการตีกลองตะโพนจะเลียนเสียงเป็นเสียง พรึง ตุ๊บ เป็นหลักในกรณีที่นำมาใช้กับโทนรำมะนาซึ่งเป็นกลองขนาดเล็กกว่าจะให้เสียงแตกต่างกันจะได้เป็นเสียง โจ๋ง จ๊ะ ทั่ม โดยเรียกเสียงเลียนแบบตามการตีกลอง ได้แก่
เสียงทั่ม คือการตีลงบนหน้ากลองโทนบริเวณตรงกลางหน้ากลอง
เสียงโจ๋ง คือการใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางเคาะไปบนบริเวณขอบหน้ากลองโทน
เสียงติงคือการตีลงบนหน้ากลองรำมะนา บริเวณตรงกลางหน้ากลอง
เสียงนะ คือการใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางเคาะไปบนบริเวณขอบของหน้ากลองรำมะนา
หน้าทับปรบไก่ 2 ชั้นของโทนรำมะนา
ฉิ่ง ฉับฉิ่งฉับฉิ่งฉับฉิ่ง ฉับ
 ทั่ม-ติง
-นะ-โจ๋ง
นะ- โจ๋ง
นะโจ๋ง
ติง - ทั่ม
ติงติง
ทั่มติง
ทั่มติงทั่ม


ลักษณะการตีกลองหน้าทับปรบไก่สำหรับโทนรำมะนาเป็นพื้นฐานจังหวะที่สำคัญที่สุดเมื่อเริ่มการฝึกหัดตีกลองเบื้องต้นจะยึดเอาหน้าทับนี้เป็นพื้นฐานในการฝึกหัดเสมอในกรณีที่ไม่การตีกลองประกอบในเพลง 2 ชั้นก็จะยึดที่การตีฉิ่งประกอบแทนไปโดยเว้นจังหวะการตีให้ตรงกับจังหวะของหน้าทับด้วยดังนั้นหน้าทับปรบไก่ 2 ชั้นจะมีแบบแผนที่ควรจะทราบดังต่อไปนี้
1.      กำหนดให้ 1 จังหวะหน้าทับปรบไก่เท่ากับ 1 บรรทัดของโน้ตไทย
2.      กำหนดให้ 1 หน้าทับปรบไก่มีการตีฉิ่ง 4 ครั้ง และฉับ 4 ครั้งโดยยึดเสียงหลักที่เสียงฉับเป็นหลักเสมอซึ่งบางที่เรียกว่าลูกตกจังหวะหมายถึงจังหวะฉับในห้องโน้ตที่ 4 และห้องโน้ตที่ 8
3.      การตีจังหวะ 2 ชั้นนั้นไม่จำเป็นต้องมีกลองตีประกอบก็ได้แต่ต้องมีฉิ่งเป็นตัวกำหนดจังหวะซึ่งต้องตีให้ตรงตามจังหวะอย่างชัดเจน
4. หน้าทับปรบไก่จะใช้ตีประกอบเพลงที่มีลักษณะตายตัวกำหนดเอาไว้อย่างเป็นแบบแผนเช่น กำหนดไว้ให้เพลงมี 4 จังหวะหน้าทับก็ต้องบรรเลงให้ตรงตาม 4 จังหวะที่กำหนดทุกครั้งจะบรรเลงขาดหรือเกินไม่ได้
สำหรับอัตราจังหวะ 3 ชั้นและชั้นเดียวก็ยังคงยึดเอาหน้าทับปรบไก่ 2 ชั้นนี้มาเป็นหลักในการกำหนดจังหวะด้วยเพียงแต่ว่าในอัตรา 3 ชั้น แต่งขยายจาก 2 ชั้นออกไปอีกเท่าตัวโดบการยืดขยายนั้นจะทำให้จังหวะนั้นช้าหรือเร็วโดยกำหนดให้ตีหน้าทับกลองให้ตีกลองและฉิ่งยืดจังหวะออกไปด้วยกล่าวคือ 1 จังหวะหน้าทับปรบไก่ในอัตรา 3 ชั้นถ้าเปรียบเทียบกับโน้ตไทยจะเท่ากับ 16 ห้องโน้ตไทย หรือ 2 บรรทัดโน้ต(มากกว่า 2 ชั้น 1 บรรทัด) และยืดจังหวะการตีฉิ่งออกไปด้วย ส่วนอัตราจังหวะชั้นเดียวก็จะตัดจาก 2 ชั้นลงมาครึ่งหนึ่งโดยกำหนดหน้าทับขึ้นมาใหม่ให้เหมาะสมเช่นเดียวกันดังนั้น1 จังหวะหน้าทับปรบไก่ในอัตราชั้นเดียวจะเท่ากับ โน้ต 4 ห้อง หรือครึ่งบรรทัดนั่นเอง อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นอัตราใดการตีฉิ่งและฉับก็ยังคงเป็นอย่างละ 4 ครั้งต่อ 1 จังหวะเสมอไม่มีการตีฉิ่งมากไปกว่านั้นเด็ดขาด


หน้าทับสองไม้
เป็นหน้าทับที่มีความยาวครึ่งหนึ่งของหน้าทับปรบไก่บางครั้งเรียกว่า หน้าทับทยอย กล่าวคือ 1 หน้าทับสองไม้ในอัตรา 2 ชั้นจะเทียบเท่ากับ 4 ห้องโน้ตหรือครึ่งบรรทัดโน้ตจึงเป็นหน้าทับขนาดสั้น ๆ คิดขึ้นมาจากการตีกลองกำกับจังหวะเพลงที่ร้องในลักษณะการร้องด้นเพลงเรียกว่า “ด้นสองไม้”ซึ่งจะร้องโดยปฏิภาณไหวพริบคิดกลอนขึ้นมาทันทีเช่นเดียวกับเพลงพื้นบ้านทั่วไปซึ่งการร้องด้นนั้นผู้ร้องย่อมพลิกแพลงไปโดยไม่มีความยาวที่แน่นอนจึงไม่สามารถหาจังหวะมาตีประกอบได้ให้ลงตัวซึ่งมักจะเป็นเพลงที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดงโขน ละคร ซึ่งเป็นหน้าทับที่พอดีกับวรรคเพลงของไทยที่ 1 วรรค จะเท่ากับ 4 ห้องโน้ตโดยส่วนใหญ่หน้าทับนี้จึงพอดีที่สุด (มนตรี ตราโมท 2507 : 30)

หน้าทับสองไม้ 2 ชั้นของโทนรำมะนา
ฉิ่งฉับ ฉิ่งฉับ
นะโจ๋ง
ติงติง
นะโจ๋ง
ติงทั่มติง

หน้าทับสองไม้จะใช้กับเพลงไทยที่มีทำนองในลักษณะที่ไม่มีการกำหนดจังหวะตายตัวสามารถเพิ่ม หรือลดจำนวนในการบรรเลงได้ดังนั้นเพลงที่ใช้หน้าทับสองไม้มักจะไม่กำหนดจังหวะให้ตายตัวเหมือนกับหน้าทับปรบไก่โดยไม่สามารถระบุได้ว่าเพลงที่ใช้หน้าทับสองไม้จะเป็นเพลงกี่จังหวะและเพลงที่หน้าทับประเภทนี้เป็นเพลงประเภท “ลูกโยน” หรือ เพลงประเภท “ลูกล้อลูกขัด” ซึ่งเป็นเพลงไทยประเภทหนึ่งที่มีความอิสระในการบรรเลงมากความสำคัญของเพลงประเภทนี้จะอยู่ที่ทำนองมากกว่าจึงไม่ค่อยยึดที่ตัวจังหวะให้ตายตัวนอกจากนี้หน้าทับสองไม้ยังใช้กับเพลงที่มีวรรคเพลงสั้น ๆ และไม่สามารถใช้หน้าทับไก่ตีประกอบได้
หน้าทับสองไม้ยังมีผู้นำไปปรับปรุงให้เป็นหน้าทับลาวสำหรับใช้ตีประกอบเพลงสำเนียงลาว เช่น เพลงลาวดำเนินทราย ลาวดวงเดือน ลาวแพน เป็นต้นซึ่งหน้าทับสองไม้กับหน้าทับลาวนั้นเหมือนกันเพียงแต่มีการดัดแปลงการตีให้เสียงแตกต่างกันออกไปการดัดแปลงหน้าทับนั้นมีอยู่หลายแบบขึ้นอยู่กับว่าต้องการจะตีหน้าทับประกอบเพลงประเภทใดบ้างก็สามารถดัดแปลงการตีออกไปได้เพื่อความเหมาะสมจึงทำให้เพลงในแต่ละประเภทล้วนมีหน้าทับที่เหมาะสมกับเพลงเพื่อให้เสียงนั้นกลมกลืนกับทำนองดังเช่นหน้าทับลาวซึ่งดัดแปลงมาจากหน้าทับสองไม้นั่นเอง

หน้าทับลาว
ติงโจ๋ง
ติงติง
โจ๋ง ติง ทั่ม
- ติงทั่ม

 หน้าทับพิเศษ
เป็นหน้าทับที่ใช้บรรเลงประกอบเพลงที่ไม่มีจังหวะสม่ำเสมอเป็นหน้าทับที่ปรับปรุงขึ้นเพื่อใช้สำหรับเพลงประเภทประกอบการแสดงและเพลงประกอบพิธีกรรมเป็นหลักเนื่องจากการแสดงของไทยที่เรียกว่า “นาฎศิลป์” ไม่ว่าจะเป็นโขนหรือละครนั้นจะมีการร่ายรำของตัวละครเป็นหลักของการแสดงโดยตัวละครจะใช้การร่ายรำบอกอากัปกิริยาต่าง ๆ โดยการพูดเจรจานั้นจะเป็นหน้าที่ของนักร้องและนักพากย์เจรจาเป็นหลักการร่ายรำนั้นจำเป็นต้องมีจังหวะที่แน่นอนเพื่อให้เกิดความสวยงาม จึงมีการกำหนดเพลงที่ใช้อย่างเฉพาะซึ่งเรียกว่า เพลงหน้าพาทย์ใช้บรรเลงประกอบกิริยาของตัวละครซึ่งจะมีกิริยาที่แตกต่างกันออกไปโดยหลักการแล้วหน้าทับพิเศษนี้มักจะใช้สำหรับกลองตะโพนเป็นหลักตัวละครที่ร่ายรำจะฟังเสียงจังหวะตะโพนแล้วแสดงเป็นท่ารำต่าง ๆ ออกมาเพราะตะโพนะเป็นกลองที่เสียงดังให้จังหวะห่าง ๆ สามารถรำง่ายกว่ากลองชนิดอื่น
นอกจากหน้าทับพิเศษจะใช้กับการบรรเลงประกอบการแสดงแล้วยังนำมาใช้สำหรับการบรรเลงประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ด้วย เช่น พิธีเผาศพซึ่งจะมีการบรรเลงสำหรับการเผาศพโดยเฉพาะคือ เพลงนางหงส์ ก็จะใช้หน้าทับนางหงส์ตีประกอบไปด้วยหน้าทับพิเศษประเภทนี้ไม่สามารถกำหนดความสั้นยาวของเพลงได้เหมือนกับหน้าทับปรบไก่บางทีอาจเป็นการนำเอาหน้าทับปรบไก่และสองไม้มาปรับปรุงให้เข้ากับทำนองเพลงเพราะจังหวะหน้าทับนั้นขึ้นอยู่กับโอกาสที่ใช้บรรเลงเป็นหลักและหน้าทับพิเศษไม่นิยมนำมาตีกับเพลงร้องรับทั่วไป
จากการที่นิยมตีกันแต่หน้าทับเพียงปรบไก่และสองไม้กันเป็นหลักจนทำให้เกิดเป็นความเข้าใจว่าถ้าเพลงที่ต้องใช้หน้าทับที่แตกต่างจากหน้าทับทั้งสองแล้วก็จัดเป็นหน้าทับพิเศษทั้งสิ้นซึ่งความจริงแล้วเพลงไทยในสมัยอยุธยาจะมีหน้าทับอยู่ประจำเพลงแทบทุกเพลง เช่น เพลงรอบก้อย ใช้ทับนางไห้ เป็นต้นแสดงว่าเพลงนั้นต้องใช้หน้าทับนั้นตีประกอบเวลาร้องบรรเลงและลักษณะชองหน้าทับก็น่าจะสอดคล้องกับทำนองเพลงนั้นเป็นอย่างดี แต่เนื่องจากไม่มีการจดบันทึกหน้าทับประจำเพลงเหล่านั้นเอาไว้ทำให้หน้าทับเหล่านั้นสาปสูญไปจำนวนมากดังนั้นถ้าต้องตีหน้าทับที่ไม่ใช่หน้าทับปรบไก่และสองไม้จึงเป็นหน้าทับพิเศษทั้งสิ้น

1 ความคิดเห็น: